ผู้เขียนรู้สึกว่าเรื่องราวต่างๆ บนโลกเต็มไปด้วยความเศร้า และความสุข เขาเองพอเวลาผ่านไป ความคิดลึกซึ้งมากขึ้น ก็เลยอยากได้รับคำปลอบโยนจากโลกใบนี้ และเขาก็เลยอยากมอบกำลังใจกลับไปให้กับคนอื่นๆ เป็นหนังสือที่กลั่นมาจากหัวใจของผู้เขียนอันมุ่งมั่น เขาบอกว่า “ถึงโลกจะเป็นสถานที่ที่มีไว้เพื่อใช้ชีวิต ก็คงจะดียิ่งกว่าหากเรามีชีวิตด้วยความรัก” เป็นหนังสือปลอบใจ เยียวยาหัวใจ อ่านแล้วพร้อมจะลุกขึ้นออกเดินทางต่อไป อ่านแล้วมีความชิลล์ในใจ เป็นถ้อยคำที่มีเสน่ห์ ในความเรื่อยๆ ทุกอย่างเริ่มต้นกันที่ความสุข
เขียนโดย: คิมซูฮยอน
แปลโดย: ฑิตยา ปิยภัณฑ์
เคยเป็นไหมว่าถ้าเรามองสิ่งหนึ่ง แล้วคิดด้วยเหตุผลหนึ่ง เราอาจอึดอัด ไม่ค่อยพอใจ แต่แค่เราเปลี่ยนมุมมองสิ่งนั้น ให้เป็นการมองอีกแบบ ทำไมเรื่องบางเรื่องกลับง่ายไปเลย หรือแค่เรากล้าหาญขึ้น เปิดกว้างขึ้น ชีวิตก็ง่ายขึ้นได้ เล่มนี้เป็นการชวนเรามองสิ่งต่างๆ ในมุมมองใหม่ ชวนให้เราไม่เข้มกับตัวเองเกินไป ไม่ต้องยึดติดและหมกมุ่นกับสิ่งที่เราไม่ได้รับมากเกิดไป แล้วให้มองว่าสิ่งที่เราเป็น บางทีมันก็ไม่เป็นไรจริงๆ นะ เราอาจรู้สึกวุ่นวายใจ เลิกกับใครไป คนอื่นไม่เข้าใจเรา แต่มันก็ไม่เป็นไรเลยนี่นา เพราะถ้าชีวิตมันเหนื่อยมาก ก็แค่ลองปิดตาข้างหนึ่ง เราอาจเจอสิ่งที่ลืมนึกไปเลยก็ได้นั่นล่ะ
12. เธอมีค่าในแบบที่เป็น
เขียนโดย: คิมจีฮุน
แปลโดย: วิทิยา จันทร์พันธ์
หนังสือที่มาเพื่อปลอบโยน และให้เรารู้สึกถึงความรัก อ่านแล้วกระตุกเลยนะ เป็นเล่มที่ติดอันดับขายดีเล่มหนึ่งในเกาหลีเลย เล่มนี้ไอดอลเกาหลีอย่าง มินกิ มินฮยอน แทยง ฮยอนจิน และนัมจูฮยอกเขาอ่านกัน เริ่มเรื่องด้วยบทที่บอกว่าเป็น “คำปลอบโยนแด่เธอ” ให้เรามามองว่าความเจ็บปวดสอนอะไรเราบ้าง ชวนเรามองความรักในใจ ว่าเรายังรักษาความโรแมนติกในใจไว้หรือเปล่า แล้วถ้าเรารู้สึกกังวลใจเรื่องความรักล่ะ ถ้าเราน้อยใจในโชคชะตาความรักของตัวเองล่ะ เล่มนี้เลยมามอบความมีคุณค่าของเรา ที่ผู้เขียนบอกว่า เธอมีค่าในแบบที่เป็นนะ อ่านแล้วใจเลยฟูแน่นอน
13. แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นจริงๆ นะ
เขียนโดย: ซอลเลดา
แปลโดย: ตรองสิริ ทองคำใส
แค่หน้าปกก็รักแล้ว น้องกระต่ายก้มหน้ากับข้อความว่า “เราต่างสู้สุดใจกันทั้งนั้น ทั้งฉันและเธอ” กระต่ายตัวนี้มีชื่อว่า “ซอลโท” ที่ยังคงตามสิ่งที่ขาดหายไป เหมือนกับพวกเรา อ่านแล้วทำให้เรานึกถึงตัวเองว่าบางครั้ง เราก็คือเด็กสาวนั่งตัวขดๆ ในมุมห้องมืดๆ แล้วอยากให้มีใครเอาแสงสว่างมาฉายให้เรามีความหวัง เล่มนี้เลยจะพาเราดิ่งเข้าไปในใจเราตรงนั้น อาจน่ากลัวว่าเราต้องเจอความจริงในใจเราแล้ว แต่เมื่อเราได้ปะทะความจริง เราก็จะอยู่กับความเจ็บปวดเป็น และยังโอเคได้เลยล่ะ ผู้เขียนเรื่องนี้เป็นนักวาดภาพประกอบ และนักศิลปะบำบัดด้วย เป็นนักเขียนอีกคนที่ดังในเกาหลี
14. I dedicated to live as myself
เขียนโดย: คิมซูฮยอน
แปลโดย: พัชรางสุ์
ในเกาหลีถ้านักเขียนสายนี้ต้องคิมซูฮยอนเลย เล่มนี้เป็นเล่มที่สี่ที่เธอเขียน และมาพร้อมกำลังใจ คำปลอบโยนจิตใจสำหรับคนธรรมดาที่ใช้ชีวิตอยู่กับความจริง เธอนับถือความเป็นคนธรรมดาๆ นี่ล่ะ และเพิ่มแนวคิดให้เราได้ใช้ชีวิตร่วมกัน แบบปล่อยวางจากความกังวล ได้ใช้ชีวิตที่เป็นตัวของตัวเอง ใก้เกียรติตัวเอง และสุดท้ายนำพาชีวิตไปสู่ความหมายในใจเรา เมื่อเราเคารพในชีวิตเราแล้ว เราจะเลิกมองชีวิตคนอื่นที่ทำให้เราเป็นทุข์ ก็เลยมีพลังดีๆ เข้ามาระหว่างอ่าน แล้วอยากบอกเพื่อน บอกโลกต่อ ชอบชื่อเรื่องมาก
15. แล้วมันจะผ่านไป ไม่ต่างอะไรกับฤดูกาล
เขียนโดย: ปาร์กจุน
แปลโดย: ตรองสิริ ทองคำใส
แค่คำโปรยบนหนังสือก็สะอึกเลย “รู้จัก หลงทาง พบเจอกันใหม่ แล้วก็แยกย้ายจากกันไป นี่แหละชีวิต” อีกเล่มที่เป็นหนังสือขายดีของเกาหลี ถ้าใครเคยรู้สึกว่าอยากออกเดินทางจากความเหมือนๆ กันของชีวิต แล้วก็งงกับตัวเองว่าทำไมเราออกเดินทางแล้วยังกลับมาที่เดิม หนังสือเล่มนี้จะทำให้เราตกผลึกว่าเอาจริงๆ ทั้งทุกข์และสุขจะคอยเข้ามาในชีวิตเราเสมอ เราแทบจะเลือกไม่ได้เลย เหมือนกับที่เราเลือกที่จะอยู่ในฤดูกาลใดไม่ได้ เราแค่ทำได้เพียงเตรียมความพร้อมก่อนฤดูกาลใหม่มา ก็คงเหมือนกับชีวิตที่เราไม่รู้ว่าจะเจออะไร เราก็คงต้องเตรียมใจไว้ ทำเท่าที่เราจะทำได้ให้ดีที่สุดแล้วกัน
16. ไม่เป็นไรนะ ถ้าจะร้องไห้บ้าง
เขียนโดย: Twoego
แปลโดย: ifinity
ถ้าบอกชื่อเรื่องต้นฉบับเล่มนี้ น่าจะคุ้นๆ กัน คือเรื่อง It’s Okay to Cry as an Adult Sometimes ชอบแก่นของเรื่องนี้ที่บอกว่า “ไม่ต้องแกล้งทำเป็นโอเค แกล้งทำเป็นมีความสุขหรอกนะ” ผู้เขียนให้กำลังใจมากๆ แล้วบอกเราแรงๆ ว่าถ้าไม่มีแรงสู้ หยุดไป ล้มเลิกไปก็ไม่เป็นไรหรอก เพราะสิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ หัวใจของเรา เหมือนเวลาเราต้องพยายามอะไรมากๆ แล้วรู้สึกมีอะไรกดทับ ตาเริ่มแข็ง รู้สึกฝืดเหลือเกิน แล้วหาทางออกกับตัวเองไม่ได้ เป็นหนังสือที่เล่าเกี่ยวกับการเติบโตเป็นผู้ใหญ่นั้น ปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาเถอะ มันไม่ได้แย่นะ อ่านแล้วเลยรู้สึกเหมือนมีคนเข้าใจความเปราะบางของเรา แล้วพอมีคนเข้าใจ เราเลยรู้สึกเปิดกว้างกับตัวเองขึ้น มีพลังให้ลุกขึ้นมาเลย
17. เรายังไม่เจอกัน แต่รู้ว่าเธออยู่ตรงนั้น ณ. จุดตัดของจักรวาล
เขียนโดย: ชังซออู
แปลโดย: วิทิยา จันทร์พันธ์
ชื่อเรื่องโรแมนติกมากๆ แต่ละบทก็ดีงาม บทแรกคือ “ความรัก” ตามมาด้วย “คน” บทต่อมาคือ “ความฝัน” และบทสุดท้ายคือ “การทบทวน” เป็นเรื่องการเปรียบเปรยว่าความเชื่อมั่นจะเหมือนกับลำแสงในจักรวาล คอยช่วยส่องแสงไปสู่จุดหมายของเส้นทางชีวิต เพราะถ้าเราไม่มีความเชื่อมั่นใดๆ ชีวิตก็เหมือนหลงทาง อย่างในเรื่องความรัก แต่เราเชื่อมั่น ก็อาจทำให้เราได้เจอความรักแท้จริง หรือถ้าเราศรัทธาในความฝัน ฝันนั้นก็อาจมาอยู่ตรงหน้าเราได้นั่นเอง
18. เมื่อทำเต็มที่ ให้คิดเสมอว่ามันดีที่สุด
เขียนโดย: Think เดียวก็เปลี่ยนได้
ผู้เขียนเรื่องนี้บอกไว้ว่า “ทุกบนเรียนจากปัญหา ทุกความล้มเหลว ทุกหยดน้ำตา ทุกความทรงจำ และทุกๆ รอยยิ้ม ที่เกิดขึ้นกับเรา ไม่ว่าจะช่วงเวลาใดก็ตาม มันล้วนเกิดขึ้นในจังหวะชีวิตที่เหมาะสมกับเราตอนนั้นที่สุดแล้วนะ แน่นอนว่าเรารับมือมันได้ดีที่สุดแล้วเช่นกัน หยุดเกลียดตัวเองที่ผิดพลาดในอดีตที่ทำชีวิตไม่เป็นไปตามหวัง กลับมารักและให้อภัยตัวเองเถอะ เพราะเส้นทางที่เราอยู่ ณ ตอนนี้ มันก็มีเรื่องดีๆ อยู่ไม่น้อยเลยไม่ใช่เหรอ” น่าจะบอกทุกคนได้แล้วล่ะ ว่าหนังสือเล่มนี้จะให้อะไรเราบ้าง
19. More than words คำบันดาลใจ
เขียนโดย: ท้อฟฟี่ แบรดชอว์
ใครติดตามท้อฟฟี่ แบรดชอว์ นักเขียน ครีเอเตอร์ที่เปิดโลกกว้างให้เรา หนังสือเล่มนี้ท้อฟฟี่ได้รวบแรงบันดาลใจดีๆ ในโลก ให้อ่านแล้วฮึกเหิมสุดๆ แต่ละบทโดนให้ต้องรีบเปิดอย่าง “เมื่อ CEO Nike หยุดงานไป 1 ปี หลังจาก Burnout เพื่อค้นหาคำตอบให้ชีวิต” ขนาดเราไม่ได้เป็นซีอีโอ ยังรู้สึกเบิร์นเอาท์เลย ก็เลยยิ่งอยากรู้ว่าซีอีโอแบรนด์ดัง เขาไปหาคำตอบแล้วเจอไหม? อ่านสนุก เพลินเลยดีกว่า อ่านแล้วอยากเล่าต่อให้เพื่อนฟังไฮๆ ท้อฟฟี่ได้ดึงสิ่งที่เกิดขึ้นในโลก มาอยู่บนหน้าตักของเราขนาดนี้ จะพลาดได้ยังไง? แล้วถ้อยคำทั้งหมด ค่อยๆ ซึมไป ก็ทำให้ช่วงเวลาท้อๆ ของเรา อัพขึ้นมาได้เลยนะ
20. พลังแห่งโชวะ
เขียนโดย: อาเคมิ ทานากะ
แปลโดย: นกหวีเรือ
งานภูมิปัญญาของญี่ปุ่นไม่เคยตกยุค ลึกซึ้งน่าค้นหาเสมอ เล่มนี้ก็เช่นกัน โชวะ เป็นภูมิปัญญาโบราณของญี่ปุ่น ที่ถ้าเราควบคุมพลังของโชวะได้ ก็จะทำให้เราสามารถเพิกเฉยต่อสิ่งรบกวนต่างๆ แล้วไปเน้นสิ่งที่สำคัญจริงๆ และยังทำให้เราเกิดสมดุล เกิดความสงบมั่นคงภายใน ให้เรามั่นใจ รับมือกับปัญหาต่างๆ ได้ ผู้เขียนคือผู้สืบเชื้อสายตระกูลซามูไร ที่ต่อสู้เคียงข้างกับ Ota Dokan นักรบ-กวีในศตวรรษที่ 15 เธอบอกว่า “นี่คือวิธีคิดเกี่ยวกับโลกที่ช่วยให้เราค้นหาความแข็งแกร่งจากภายใน” เหมือนเป็นความท้าทายกับตัวเองตลอดการอ่าน ว่าเราจะเข้าใจโชวะมั้ย และเราปรับให้เป็นประโยชน์กับชีวิตเรายังไง อ่านแล้วอาจทำให้เราเจอสมดุลของตัวเรากับธรรมชาติขึ้นมา และเอามาใช้ในการทำงานของเราเลยนะ
พิกัด
No comments:
Post a Comment